อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เผยคำแนะนำจากจีน-ไต้หวั่น กับการป้องกันโรคระบาด โควิด 19 ด้วยวิธีการใช้หน้ากากอนามัยซ้ำ เหตุปัจจุบันอยู่ในภาวะขาดแคลน
โดย ไต้หวัน ระบุว่า หน้ากากอนามัยสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ หากผ่านการฆ่าเชื้อโรคอย่างเหมาะสม ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ที่ตอนนี้คนกำลังแตกตื่น ทำให้ขาดแคลนหน้ากากอนามัย มีคำแนะนำมีดังนี้…
1. หน้ากากอนามัย สามารถใช้ไปได้เรื่อย ๆ ถ้ามันยังไม่เปียก และไม่ได้ไปใช้ในพื้นที่ที่เสี่ยงติดเชื้อมาก เป็นเวลานานกว่า 4-6 ชั่วโมง (เช่น โรงพยาบาล)
2. ถ้าจะฆ่าเชื้อด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลต (เช่น บ้านใครมีเครื่องล้างจานแบบที่ใช้แสงยูวีลงไปได้ด้วย) ต้องฉายแสงด้านละ 30 นาที ถึงจะพอต่อการฆ่าเชื้อ หลังจากนั้นให้ไปเก็บในที่ที่สะอาดและแห้ง เป็นเวลา 3 วัน ก่อนจะนำมาใช้ใหม่ (งงเหมือนกัน ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้)
3. ใช้แอลกอฮอล์สเปรย์พ่นใส่หน้ากากอนามัย ทั้ง 2 ด้าน ทิ้งให้แห้ง ก็สามารถใส่ไปได้เรื่อย ๆ จนกว่ามันจะเริ่มฉีกขาด หรือปนเปื้อนเชื้อโรค
4. หน้ากากที่ใช้วิธีดังกล่าวนั้น จะมีความสามารถในการกรองได้น้อยลง แต่มันก็ยังใช้ได้อยู่
ด้าน ประเทศจีน ระบุดังนี้ …
1. ฆ่าเชื้อด้วยการอบแห้ง Oven dry heat disinfection
2. ฆ่าเชื้อด้วยการพ่นแอลกอฮอล์ Alcohol spraying disinfection
3. ฆ่าเชื้อด้วยการนึ่ง Steamer wet heat disinfection
4. ฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูงและแรงดันสูง High temperature and high-pressure disinfection
5. ฆ่าเชื้อด้วยแสงอัลตราไวโอเลต Ultraviolet disinfection
ขณะที่ การฉายแสง UV นั้น ยังไม่มีผลการศึกษาชัดเจนว่าสามารถทำให้ฆ่าเชื้อที่ซ่อนอยู่ในเส้นใยของหน้ากากได้ดีเพียงใด จึงไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้
มีวิธีหนึ่งที่แนะนำคือ เอาหน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้น มาใส่ไว้ในถุงซิปล็อก แล้วเป่าด้วยลมร้อนจากที่เป่าผมเป็นเวลานาน 30 นาที ก็สามารถฆ่าเชื้อโรคได้เช่นกัน โดยไม่ค่อยส่งผลเสียต่อความสามารถในการกรองของหน้ากากนัก
ปล. บางคนอาจจะเห็นคลิปที่เผยแพร่กัน เป็นการทดลองฉีดแอลกอฮอล์ลงไปบนหน้ากากอนามัย แล้วเทน้ำตามลงไป พบว่าน้ำซึมผ่านหน้ากากได้ทันที .. มันเป็นการทดลองที่ไม่ถูกต้องครับ เพราะเขาใช้วิธีการพ่นแอลกอฮอล์ลงไป แล้วเทน้ำตามเลย ซึ่งแอลกอฮอล์เป็นสารที่มีขั้ว ก็จะทำให้น้ำซึ่งเป็นสารที่มีขั้วอ่อนไหลออกผ่านช่องเล็ก ๆ ของเส้นใยหน้ากากได้โดยง่าย จริง ๆ แล้วเขาจะต้องสเปรย์แอลกอฮอล์และทิ้งให้จนแห้งถึงจะมาทดสอบใหม่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant, thebeijinger, focustaiwan